เฮ้! เพื่อนๆ ชาวโฮมเธียเตอร์ (หรือแค่คนที่เพิ่งซื้อทีวี/ซาวด์บาร์มาใหม่!) 👋 เคยงงกันไหมว่า เวลาจะต่อเสียงจากทีวีที่เราดู Netflix, Youtube หรือเล่นเกม ให้มันดังออกลำโพงซาวด์บาร์ หรือชุดเครื่องเสียงสุดรักของเราเนี่ย เราควรจะใช้ ‘สาย’ อะไรเชื่อมต่อดีที่สุด? เปิดดูหลังทีวี อ้าว! มีช่องเสียบเพียบ! แต่หลักๆ ที่เราใช้ต่อเสียงแบบ ‘สายเส้นเดียวจบ’ เนี่ย มันจะมีอยู่ 2 แบบยอดฮิตที่ทำให้หลายคนสับสน นั่นคือช่อง Digital Optical (หรือ Toslink) กับช่อง HDMI ARC!
ตกลงไอ้สองสาย สองช่องนี้ มันต่างกันยังไง? คุณภาพเสียงอันไหนดีกว่า? แล้วเราควรจะเลือกใช้อันไหน? วันนี้ปิงจะมาสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องมีพื้นฐานเทคนิคอะไรก็เก็ท! ไปดูกันเลย!
รู้จัก 2 ผู้ท้าชิง: สาย Optical vs HDMI ARC ⚔️
ก่อนอื่น มาทำความรู้จักหน้าตาและหลักการทำงานของทั้งคู่กันก่อน:
- สาย Digital Optical (Toslink):
- หน้าตา: เป็นสายไฟเบอร์ออปติก (ใยแก้วนำแสง) หัวเสียบจะเป็นรูปทรง ‘สี่เหลี่ยม’ หน่อยๆ เวลาทำงานจะมี ‘แสงสีแดง’ กะพริบๆ ออกมาจากปลายสาย (ระวังอย่าจ้องนานนะเพื่อน! 😅) บางทีก็เรียกสั้นๆ ว่าสาย Optical หรือสาย Toslink
- หลักการ: ใช้ ‘ลำแสง’ ในการส่งสัญญาณเสียงแบบ ‘ดิจิทัล’ จากทีวีไปยังเครื่องเสียง ถือเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างเก่าแก่พอสมควรเลยนะ มีมาตั้งแต่ยุค 80s นู่น!
- สาย HDMI ARC (Audio Return Channel):
- หน้าตา: ก็คือสาย HDMI หน้าตาแบนๆ ที่เราใช้ต่อภาพจากกล่อง/เครื่องเล่นเกมเข้าทีวีนี่แหละ! แต่! การจะใช้ฟีเจอร์ ARC ได้นั้น เราต้องเสียบสาย HDMI นี้เข้ากับช่อง HDMI บน ‘ทีวี’ และ ‘ซาวด์บาร์/AV Receiver’ ที่มีตัวอักษร “ARC” (หรือรุ่นใหม่ๆ จะเป็น “eARC”) กำกับอยู่เท่านั้นนะ! เสียบช่อง HDMI ธรรมดา เสียงไม่ออกเด้อ!
- หลักการ: ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว “Audio Return Channel” คือมันเป็นช่อง HDMI พิเศษที่สามารถส่งสัญญาณ ‘เสียงย้อนกลับ’ จากตัวทีวี (เช่น เสียงจากแอป Netflix ในทีวี หรือเสียงจากอุปกรณ์อื่นที่ต่อเข้าทีวีช่อง HDMI อื่น) กลับไปยังเครื่องเสียงของเราได้ ผ่านสาย HDMI เส้นเดียวนี่แหละ!
เรื่องเสียง ใครเทพกว่า? (Dolby Atmos / DTS:X ต้องทางนี้!) 🏆
มาถึงคำถามสำคัญ! แล้วคุณภาพเสียงล่ะ? อันไหนดีกว่ากัน!?
- สาย Optical:
- คุณภาพ: ถือว่าให้คุณภาพเสียงที่ดีในระดับหนึ่งเลยนะ สามารถส่งสัญญาณเสียงสเตอริโอแบบไม่บีบอัด (Uncompressed Stereo PCM – 2 แชนแนล) ได้สบายๆ และยังรองรับระบบเสียงเซอร์ราวด์ยอดนิยมแบบ ‘บีบอัดข้อมูล’ (Compressed / Lossy) อย่าง Dolby Digital และ DTS ได้สูงสุดถึง 7.1 แชนแนล เลยทีเดียว! ซึ่งสำหรับหนังหรือซีรีส์ส่วนใหญ่ในอดีต หรือบนทีวีดิจิทัลทั่วไป ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
- ข้อจำกัดใหญ่: ด้วยความที่เป็นเทคโนโลยีเก่า ‘ท่อส่งข้อมูล’ (Bandwidth) ของสาย Optical มัน ‘แคบ’ เกินไป! ทำให้มัน ‘ไม่สามารถ’ ส่งสัญญาณเสียงเซอร์ราวด์คุณภาพสูงระดับ Hi-Res หรือระบบเสียงยุคใหม่แบบ Object-based อย่าง Dolby Digital Plus, Dolby TrueHD, DTS-HD Master Audio, DTS:X, หรือ Dolby Atmos ได้!!! 😱 ใครอยากฟังเสียง Atmos จาก Netflix หรือแผ่น Blu-ray ผ่านสาย Optical… ฝันไปได้เลยเพื่อน! มันส่งได้แค่ Core ของ Dolby Digital/DTS ธรรมดาเท่านั้น!
- สาย HDMI ARC / eARC:
- คุณภาพ: นี่แหละ ‘พระเอก’ ตัวจริงเรื่องเสียงในยุคนี้! เพราะสาย HDMI มันมี ‘ท่อส่งข้อมูล’ ที่กว้างกว่าสาย Optical แบบเทียบกันไม่ติด! ทำให้มันสามารถส่งสัญญาณเสียงดิจิทัลคุณภาพสูงได้ ‘ทุกรูปแบบ’ เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน!
- รองรับหมดจด!: ตั้งแต่เสียงสเตอริโอ PCM, Dolby Digital, DTS ธรรมดา ไปจนถึงระบบเสียงขั้นเทพแบบไม่บีบอัด/บีบอัดน้อย (Lossless/High-Res) อย่าง Dolby Atmos, DTS:X, Dolby TrueHD, DTS-HD Master Audio ได้สบายๆ! ใครที่ซื้อซาวด์บาร์หรือชุดโฮมฯ ที่มีโลโก้ Dolby Atmos / DTS:X มา แล้วอยากสัมผัสประสบการณ์เสียงรอบทิศทางสมจริง วัตถุเสียงเคลื่อนที่ได้รอบตัว จากหนังหรือเกมใหม่ๆ… คุณ ‘ต้อง’ ต่อผ่านช่อง HDMI ARC (หรือ eARC) เท่านั้น!!! ย้ำ! เท่านั้น!
- eARC คืออะไร?: eARC (Enhanced Audio Return Channel) คือเวอร์ชั่นอัปเกรดของ ARC ที่มากับ HDMI 2.1 มีแบนด์วิธสูงกว่าเดิมอีก! ทำให้รองรับการส่งสัญญาณเสียงแบบ Uncompressed หลายแชนแนล (เช่น LPCM 7.1) หรือระบบเสียง Object-based คุณภาพสูงสุดได้ดีกว่า ARC แบบเดิมๆ ทีวีและเครื่องเสียงรุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะเป็น eARC กันหมดแล้ว
สรุปง่ายๆ เรื่องเสียง: HDMI ARC/eARC ชนะขาดลอย! รองรับทุกระบบเสียงเทพๆ ในปัจจุบัน ในขณะที่ Optical รองรับได้แค่ระบบเสียงพื้นฐานเท่านั้น
ฟีเจอร์เสริมสุดเจ๋งของ HDMI ARC: รีโมทเดียว คุมทุกอย่าง! ✨
ยังไม่หมด! นอกจากเรื่องคุณภาพเสียงแล้ว HDMI ARC ยังมีไม้เด็ดอีกอย่างที่ Optical ไม่มี นั่นคือการรองรับระบบ HDMI CEC (Consumer Electronics Control)
CEC คืออะไร? มันคือระบบที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ต่อกันผ่านสาย HDMI สามารถ ‘คุยกัน’ และ ‘สั่งงานกัน’ ได้! ผลลัพธ์คืออะไรน่ะเหรอ? ก็คือ… เราสามารถใช้ ‘รีโมททีวีอันเดียว’ ควบคุมการทำงานพื้นฐานของอุปกรณ์อื่นๆ ได้เลย! เช่น:
- เปิด/ปิดทีวีปุ๊บ ซาวด์บาร์/AVR ก็เปิด/ปิดตามไปด้วยอัตโนมัติ!
- เร่ง/ลดเสียงที่รีโมททีวี ก็เป็นการไปปรับระดับเสียงที่ซาวด์บาร์/AVR โดยตรง!
- เลือก Input ที่ทีวี ก็อาจจะทำให้อุปกรณ์นั้นๆ เปิดขึ้นมาเอง!
โคตรสะดวก! ลดปัญหารีโมทกองเต็มโต๊ะไปได้เยอะเลย! (แต่! ฟีเจอร์ CEC นี้ เราต้องไปเปิดใช้งานในเมนู Settings ของทั้งทีวีและเครื่องเสียงก่อนนะ และชื่อเรียกอาจจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น Anynet+ (Samsung), Bravia Sync (Sony), SimpLink (LG), Viera Link (Panasonic) เป็นต้น)
วิธีต่อสายง่ายๆ (เช็คช่องเสียบให้ถูกนะ!) 🔌
รู้วิธีเลือกแล้ว ก็มาดูวิธีต่อกันหน่อย ง่ายนิดเดียว!
- วิธีต่อสาย Optical:
- เอาสาย Optical (หัวเหลี่ยมๆ มีฝาปิดกันฝุ่น) เสียบจากช่อง Optical OUT (หรือ Digital Audio Out) ที่ ‘หลังทีวี’
- เอาปลายสายอีกด้าน ไปเสียบเข้าช่อง Optical IN ที่ ‘ซาวด์บาร์ หรือ AV Receiver’
- ไปที่เมนู ‘ตั้งค่าเสียง’ (Sound Settings) ในทีวี:
- ตั้งค่า ‘Audio Output’ (สัญญาณเสียงออก) ให้เป็น Optical / Digital Audio Out
- ตั้งค่า ‘Digital Audio Format’ (รูปแบบเสียง) เป็น PCM (ถ้าใช้ซาวด์บาร์ 2ch หรือหูฟังธรรมดา) หรือเลือกเป็น Bitstream / Auto / Passthrough (ถ้าใช้ซาวด์บาร์หรือชุดโฮมฯ ที่รองรับ Dolby Digital / DTS) เพื่อให้ทีวีส่งสัญญาณเสียงเซอร์ราวด์แบบไม่ถอดรหัสไปให้เครื่องเสียงจัดการเอง
- วิธีต่อสาย HDMI ARC/eARC:
- เอาสาย HDMI (แนะนำให้ใช้สายเวอร์ชั่น 1.4 ขึ้นไป หรือถ้าเป็น eARC ควรใช้สาย High Speed / Ultra High Speed ที่รองรับ) เสียบจากช่อง HDMI ที่มีตัวอักษร “ARC” หรือ “eARC” กำกับไว้ บน ‘หลังทีวี’ (สำคัญมาก! ต้องเสียบช่องนี้เท่านั้น!)
- เอาปลายสายอีกด้าน ไปเสียบเข้าช่อง HDMI OUT ที่มีตัวอักษร “ARC” หรือ “eARC” กำกับไว้ บน ‘ซาวด์บาร์ หรือ AV Receiver’ (ส่วนใหญ่จะเป็นช่องที่เขียนว่า HDMI OUT (TV-ARC/eARC))
- ไปที่เมนู ‘ตั้งค่า’ (Settings) ในทีวี:
- หาเมนูที่เกี่ยวกับ HDMI CEC (ชื่ออาจจะต่างกันไปตามยี่ห้อ) แล้ว ‘เปิดใช้งาน’ (Enable) มันซะ
- ไปที่เมนู ‘ตั้งค่าเสียง’ (Sound Settings) ในทีวี:
- ตั้งค่า ‘Audio Output’ (สัญญาณเสียงออก) ให้เป็น HDMI ARC / eARC หรือ Audio System (ชื่ออาจจะต่างกันไป)
- ตั้งค่า ‘Digital Audio Format’ (รูปแบบเสียง) เป็น Bitstream / Auto / Passthrough เพื่อให้ทีวีส่งสัญญาณเสียง Dolby Atmos/DTS:X หรือระบบเสียงอื่นๆ ไปให้เครื่องเสียงถอดรหัสเอง
ฟันธง! สรุปใช้สายไหนดีที่สุด!? 🤔🏆
มาถึงบทสรุป ฟันธงฉับๆ สไตล์ปิง!
ง่ายๆ สั้นๆ เลยเพื่อน! ถ้า! ทีวี และ ซาวด์บาร์/AV Receiver ของเพื่อนๆ ‘มีช่อง HDMI ที่เขียนว่า ARC หรือ eARC’ ทั้งคู่… ให้เพื่อนๆ โยนสาย Optical ทิ้งไปเลย! แล้วใช้ ‘สาย HDMI ต่อผ่านช่อง ARC/eARC’ เท่านั้น!!! จบ! ไม่ต้องคิดเยอะ!
เหตุผล:
- คุณภาพเสียงดีที่สุด: รองรับระบบเสียงเทพๆ ยุคใหม่ได้ครบ ทั้ง Dolby Atmos, DTS:X, Dolby TrueHD บลาๆๆ
- สะดวกสบายกว่า: ใช้สาย HDMI เส้นเดียวจบ ทั้งภาพทั้งเสียง (กรณีต่อเครื่องเล่นอื่นๆ ผ่าน AVR) และได้ฟีเจอร์ HDMI CEC ใช้รีโมททีวีอันเดียวคุมได้เกือบหมด!
แต่! ถ้า… อุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง (หรือทั้งคู่) ของเพื่อนๆ มัน ‘ไม่มี’ ช่อง HDMI ARC/eARC มาให้ (เช่น เป็นทีวีรุ่นเก่าหน่อย หรือซาวด์บาร์รุ่นเล็กๆ เน้นประหยัด) … การใช้ ‘สาย Optical’ ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี และใช้งานได้อยู่นะเพื่อนๆ สำหรับการส่งสัญญาณเสียงดิจิทัลแบบสเตอริโอ หรือเสียงเซอร์ราวด์แบบบีบอัด (Dolby Digital / DTS 5.1) คุณภาพเสียงที่ได้ก็ยังดีกว่าการต่อผ่านสาย Analog (สายแดง-ขาว) แบบคนละเรื่องเลย!
สรุปแล้ว การเลือกระหว่าง HDMI ARC กับ Optical มันไม่ยากเลยใช่ไหมเพื่อนๆ? แค่ก้มไปดูช่องเสียบหลังทีวีกับหลังเครื่องเสียงของเราก่อนเลย! ถ้ามี HDMI ARC/eARC ทั้งคู่ ก็จัด HDMI ไปเลยเพื่อคุณภาพเสียงและความสะดวกสบายสูงสุด! แต่ถ้าไม่มี หรือมีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง การต่อด้วยสาย Optical ก็ยังให้เสียงที่ดี ฟังสนุกได้อยู่ ไม่ต้องกังวล!
หวังว่าข้อมูลที่ปิงรวบรวมและสรุปมาให้แบบบ้านๆ นี้ จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ในการเลือกต่อสายเครื่องเสียงให้ได้เสียงที่ดีที่สุดตามอุปกรณ์ที่เรามีนะครับ! ไปต่อเครื่องเสียงให้เสียงกระหึ่ม ดูหนังฟังเพลงเล่นเกมให้สะใจกันเลย! วันนี้ปิงไปก่อน บายจ้า! 👋🔊