บทนำ: เกมที่ไม่มีใครพูดถึง แต่คุณควรลอง
มันแปลกดีที่ The Outer Worlds 2 เป็นเกมที่แทบไม่มีใครพูดถึงในวงการ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาคแรกไม่ได้ทิ้งความประทับใจอะไรมากมาย รู้สึกเหมือนเป็นแค่เวอร์ชัน B ของ Fallout แต่ครั้งนี้… ภาคสองกลับมาแรงกว่าที่คิด ทีมพัฒนา Obsidian Entertainment ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากเล่นไปกว่า 20 ชั่วโมงบน Xbox Series X ผมต้องบอกว่านี่คือเกม RPG แบบ Old School ที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นคอ RPG ตัวจริง
โลกแห่งทุนนิยมที่เน่าเฟะ (แต่น่าสนใจ)
จินตนาการว่าถ้า Star Trek เป็นความฝันในแบบมองโลกในแง่ดี The Outer Worlds 2 ก็คือฝันร้ายแบบมองโลกในแง่ร้ายของมนุษยชาติ ในจักรวาลนี้ ทุนนิยมไร้ขอบเขตได้ยึดครองดาวเคราะห์ต่างๆ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นห้างสรรพสินค้ากลางแจ้งที่ไร้รสนิยม ทุกอย่างถูกครอบงำโดยองค์กรและบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีศีลธรรม
ภาคนี้เราจะได้สำรวจดินแดนใหม่ที่ชื่อว่า Arcadia แทนที่จะเป็นระบบ Halcyon จากภาคแรก มาพร้อมกับดาวเคราะห์ 4 ดวงหลักที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่วัดพุทธในหิมะบนดาว Cloister ไปจนถึงป่าทึบบนดาว Eden แต่ละสถานที่ถูกออกแบบด้วยมืออย่างประณีต ไม่ใช่ดาวเคราะห์ว่างเปล่าหลายพันดวงแบบใน Starfield
สิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นคือการเล่าเรื่องที่จริงจังและมีน้ำหนักมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีมุกตลกและการเสียดสีสังคมอยู่บ้าง แต่เกมภาคนี้ให้ความสำคัญกับการเมืองและความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆ มากกว่า คุณจะต้องเลือกระหว่างองค์กรที่เน่าเฟะหลายๆ กลุ่ม เช่น:
- Auntie’s Choice – องค์กรทุนนิยมที่อ้างว่าส่งเสริมเสรีภาพ แต่จริงๆ แล้วกดขี่ประชาชนแบบผูกขาด
- The Protectorate – สังคมแบบฟาสซิสต์ที่พยายามปราบปรามความคิดที่แตกต่าง
- Order of the Ascendant – กลุ่มที่ใช้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ทำนายอนาคต แต่ก็ทำการฆาตกรรมหมู่อย่างไร้ความรู้สึกเพื่อป้องกัน “อนาคต” ที่พวกเขามองเห็น
ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแน่นอน และนั่นทำให้การตัดสินใจแต่ละครั้งรู้สึกมีน้ำหนักและท้าทาย
ระบบ RPG ที่ทำให้ติดใจ
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบการวางแผนสเตตัสตัวละคร เกมนี้จะทำให้คุณหลงรัก ระบบสกิลมี 12 สาย ตั้งแต่ Leadership, Lockpicking, ไปจนถึง Speech และ Stealth แต่คุณจะได้รับแค่ 2 สกิลพอยต์ต่อการเลเวลอัพเท่านั้น นั่นหมายความว่าคุณต้องเลือกให้ดีว่าจะเก่งในด้านไหน
สิ่งที่ทำให้ระบบนี้น่าสนใจมากขึ้นคือ ระบบ Perks ที่มีมหาศาลและต้องปลดล็อคด้วยสกิลที่ต้องการ เช่น ความสามารถในการล้วงกระเป๋าต้องมีสกิล Sneak สูงพอ หรือความสามารถในการโกหกอย่างไร้ยางอายต้องมีสกิล Speech ที่ดี คุณสามารถเลือก Perk ได้แค่ 15 ตัวก่อนถึงเลเวลแคป 30 ซึ่งทำให้การวางแผนตัวละครเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น
และที่สำคัญที่สุด – เกมนี้ไม่มีระบบ Respec คุณไม่สามารถรีเซ็ตสกิลได้ ทุกการตัดสินใจเป็นการถาวร ซึ่งบางคนอาจไม่ชอบ แต่สำหรับผมแล้วมันทำให้รู้สึกว่าการเล่นแต่ละครั้งมีความหมายจริงๆ คุณต้องยอมรับว่าจะมีประตูที่คุณไม่สามารถเปิดได้ คอมพิวเตอร์ที่แฮ็กไม่ได้ และตัวเลือกบทสนทนาที่ผ่านไม่ได้ – และนั่นก็โอเค เพราะมันทำให้ตัวละครของคุณรู้สึกเป็น “คุณ” จริงๆ
ระบบ Flaws: จุดบกพร่องที่น่ารัก
หนึ่งในระบบที่เจ๋งที่สุดของเกมคือ Flaws – จุดบกพร่องที่เกิดจากพฤติกรรมการเล่นของคุณ ตัวอย่างเช่น:
- ถ้าคุณขโมยของบ่อยๆ คุณอาจได้รับ Kleptomaniac ที่ทำให้ขายของที่ขโมยมาได้เงินมากขึ้น แต่ก็จะขโมยของโดยอัตโนมัติบางครั้ง
- ถ้าคุณกดข้ามบทสนทนาบ่อย คุณจะได้ Foot-in-Mouth Syndrome ที่ให้ XP เพิ่ม แต่บังคับให้คุณเลือกคำตอบภายในเวลาที่จำกัดมาก ไม่งั้นระบบจะสุ่มให้
- ผมเองเลือก Jack of All Trades ที่ให้สกิลพอยต์เพิ่มขึ้น แต่ทำให้ไม่สามารถเก่งมากในสกิลใดสกิลหนึ่งได้ ผลก็คือตัวละครผมแย่ในทุกอย่าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจดี
Flaws เหล่านี้ไม่สามารถยกเลิกได้ และมันทำให้การเล่นแต่ละครั้งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ
การต่อสู้: ดีขึ้นมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด
การยิงปืนและการต่อสู้ในเกมนี้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากภาคแรก มีความคล่องตัวมากขึ้นด้วยการไถลและกระโดดสองครั้ง อาวุธมีความหลากหลายและแปลกตาในแบบ sci-fi อย่างแท้จริง เช่น:
- ปืนลูกซองที่ยิงเงียบและทำให้เป้าหมายละลายไปเลย (ดีสำหรับแอบลอบ)
- อาวุธที่อ่อนแรงตอนแรก แต่เลเวลอัพทุกครั้งที่คุณฆ่าศัตรู จนกลายเป็นอาวุธสุดโหดในที่สุด
ระบบ Mod อาวุธและเกราะก็ลึกและหลากหลาย คุณสามารถปรับแต่งอาวุธให้ยิงกระสุนระเบิด หรือเพิ่มความต้านทานต่อธาตุต่างๆ ได้
แต่ก็ยังมีปัญหาบางอย่าง เป้าหมายบางครั้งรู้สึก “ลื่น” เกินไป และศัตรูบางครั้งก็โจมตีคุณได้แม้ว่าคุณจะกระโดดสูงเหนือหัวพวกเขาไปแล้ว มันไม่ใช่ FPS ระดับ Battlefield แต่ก็ดีกว่า open-world RPG ทั่วไปมาก
ปัญหาใหญ่: ศัตรูซ้ำซาก
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของการต่อสู้คือความหลากหลายของศัตรูที่น้อยมาก แต่ละดาวมีสัตว์ป่า 2-3 ชนิดที่คุณจะเจอซ้ำๆ ไปหลายชั่วโมง บวกกับศัตรูมนุษย์ทั่วไปและหุ่นยนต์สักหน่อย ตัวอย่างเช่น Raptidon จากภาคแรกที่คุณจะเจอจนเบื่อก่อนจะออกจากดาวแรกด้วยซ้ำ
และที่แย่กว่านั้น ศัตรูทั้งหมดถูกวางไว้ในจุดเฉพาะและไม่ respawn เมื่อคุณฆ่าพวกมันหมดแล้ว แผนที่จะกลายเป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีการเผชิหน้าแบบสุ่มเกิดขึ้นอีก ซึ่งทำให้บางพื้นที่รู้สึกตายเปล่า โชคดีที่ระบบ fast travel ช่วยให้คุณข้ามพื้นที่เหล่านี้ได้
เพื่อนร่วมทาง: ตัวแทนของโลก
เกมมีเพื่อนร่วมทาง 6 คน แต่ละคนเป็นตัวแทนของฝ่ายต่างๆ ในโลก เช่น:
- Tristan – ตำรวจเกราะหนักที่อยากบังคับใช้กฎหมายแบบเผด็จการกับทุกคน
- Inez – หมอรบที่เชื่อมั่นในตลาดเสรีและระบบทุนนิยม
ตัวละครแต่ละตัวช่วยให้คุณเข้าใจมุมมองของแต่ละฝ่ายได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้อ่านบันทึกทุกหน้าหรือติดตามบทสนทนาทุกคำ คุณก็จะเข้าใจโลกและผู้เล่นสำคัญในจักรวาลได้จากการพูดคุยกับเพื่อนร่วมทาง
อย่างไรก็ตาม ตัวละครบางตัวน่าสนใจน้อยกว่า เช่น Niles วิศวกรที่เนื้อเรื่องจบเร็วเกินไป หรือ Valerie หุ่นยนต์ที่มีมุกตลกดี แต่รู้สึกไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ตัวละครเหล่านี้เป็นคนที่คุณเจอแรกๆ ซึ่งทำให้ความประทับใจแรกไม่ค่อยดี
เรื่องราว: ช้าในตอนแรก แต่ดีขึ้นมากในช่วงครึ่งหลัง
นี่คือปัญหาของเกม – ครึ่งแรกของเรื่องค่อนข้างเชื่องช้า คุณจะเน้นไปที่เควสแก้แค้นที่ไม่ค่อยน่าสนใจ ผมเองลืมไปเลยว่าเควสนั้นเป็นจุดสำคัญของเกมจนกระทั่งจบเกม
แต่เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลัง เมื่อการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ เริ่มเด่นชัดขึ้น เรื่องราวก็กลายเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างมาก คุณจะต้องตัดสินใจเลือกข้างและเผชิญกับผลที่ตามมาของการกระทำของคุณ ความขัดแย้งทางศีลธรรมในเกมนี้ทรงพลังและทำให้คิดได้จริงๆ
เกมใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมงในครึ่งแรกเพื่อสร้างโลกและแนะนำตัวละคร ซึ่งบางคนอาจรู้สึกว่ายาวไป แต่ถ้าอดทนไปถึงครึ่งหลัง คุณจะได้รับความคุ้มค่าแน่นอน
ด้านเทคนิค: สวยและเสถียร
เล่นบน Xbox Series X ด้วยโหมด Performance และเกมวิ่งได้ลื่นไหลมาก น่าประหลาดใจที่เกมมี bug น้อยมาก แม้ในเวอร์ชันก่อนอัพเดต ความแตกต่างระหว่างโหมด Performance, Quality และ Balanced น้อยมากจนแทบมองไม่ออก
พื้นที่ขนาดเล็กที่ออกแบบด้วยมือทำให้เกมดูสวยและมีรายละเอียด ไม่มีดาวเคราะห์ว่างเปล่าหลายพันดวงให้ต้องเสียเวลาเดินทาง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกมากขึ้นว่า Starfield น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก
ข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดี
- ระบบ RPG ที่ลึกและท้าทาย ไม่มีการ Respec
- ระบบ Flaws ที่สร้างสรรค์และทำให้ตัวละครมีเอกลักษณ์
- การต่อสู้ทางการเมืองและความขัดแย้งทางศีลธรรมที่น่าสนใจ
- การยิงปืนและ combat ดีขึ้นมากจากภาคแรก
- อาวุธและไอเทมที่หลากหลายและสนุก
- เสถียรและสวยงามในด้านเทคนิค
- พื้นที่ถูกออกแบบด้วยมืออย่างประณีต
ข้อเสีย
- ครึ่งแรกของเรื่องค่อนข้างเชื่องช้า (20 ชั่วโมงแรก)
- ศัตรูซ้ำซากและน้อยเกินไป
- ศัตรูไม่ respawn ทำให้แผนที่รู้สึกว่างเปล่าในภายหลัง
- เพื่อนร่วมทางบางคนไม่ค่อยน่าสนใจ
- เรือ The Incognito ไม่รู้สึกเหมือนบ้านหรือตัวละครเท่าที่ควร
- ระบบ Stealth ค่อนข้างกระดกกระเดิก
- ไม่มี mini-game สำหรับการแฮ็ก (แค่เช็คสกิล)
สรุป: คุ้มค่ากับเวลาหรือไม่?
The Outer Worlds 2 ไม่ใช่เกม GOTY และอาจไม่ได้เป็น Fallout: New Vegas ที่เราหวังไว้ แต่มันเป็นก้าวที่ชัดเจนในทิศทางที่ถูกต้อง นี่คือเกม RPG แบบ Old School ที่ทำออกมาได้ดี เหมาะสำหรับคนที่เป็นคอ RPG จริงๆ ที่ชอบการวางแผนตัวละคร การตัดสินใจที่มีน้ำหนัก และโลกที่มีความซับซ้อนทางการเมือง
ถ้าคุณเป็นแฟน RPG คลาสสิกอย่าง Fallout, Mass Effect หรือ Dragon Age คุณควรลองเกมนี้ แต่ต้องเตรียมใจไว้ว่าครึ่งแรกจะค่อนข้างช้า ถ้าคุณไม่ชอบการอ่านบทสนทนายาวๆ หรือต้องการ action ตลอดเวลา เกมนี้อาจไม่ใช่สำหรับคุณ
สำหรับผม หลังจากเล่นไป 20 ชั่วโมง ผมต้องบอกว่าThe Outer Worlds 2 ทำให้ผมสนใจมากกว่าภาคแรกเยอะ และผมตั้งตารอที่จะเล่นต่อเพื่อดูว่าการตัดสินใจของผมจะนำไปสู่จุดจบแบบไหน และบางทีผมอาจจะเล่นรอบสองด้วยสายที่ต่างออกไป
คะแนน: 8/10
The Outer Worlds 2 พร้อมให้เล่นแล้วบน Xbox Series X/S, PS5 และ PC (Steam)